มาต่อจากรีวิวที่แล้วค่ะ กัมพูชา : รีวิวเที่ยวนครวัด 2018 Siem Reap เกาะแกร์ บึงมาลา 2 วัน 2 คืน :ตอนที่ 1

ในที่สุดเราก็มาถึงเกาะแกร์ค่ะ ค่าเข้า 10 USD ก่อนที่จะไปถึงตัวปีระมิด เราก็แวะตามจุดต่างๆที่เป็นกลุ่มปราสาทก่อน เพื่อถ่ายรูป อิอิ คนน้อยมากค่ะที่นี่ แทบจะไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย แนะนำว่าถ้าใครอยากจะถ่ายรูปเก๋ๆแบบไม่ติดชาวบ้านคนอื่นเลย ก็แวะกันก่อนที่จะไปถึงโซนสุดท้ายนั่นคือปิระมิดเกาะแกร์ค่ะ

เกาะแกร์(Koh Ker)คือชื่อของกลุ่มปราสาทเก่าโบราณ เป็นชื่อของเมืองหลวงของอาณาจักขอมในอดีต เป็นนครที่ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่สี่ ประมาณปีเริ่มจาก 921 ปีที่ 944 ปี (พ.ศ. 1464 – พ.ศ. 1487) ขอมได้สร้างนครแห่งนี้ก่อนที่จะย้ายไปสร้างที่นครวัด อาจเป็นเพราะตำแหน่งที่สร้างไม่สะดวกในเรื่องน้ำ ทำให้เมืองเกาะแกร์ เป็นนครที่ถูกลืม ที่ซ่อนอยู่ในป่าเป็นพัน ๆ ปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2003 หรือ พ.ศ. 2546  ที่ผ่านมานี่เองพึ่งจะมีการค้นพบอีกครั้ง เมืองแห่งนี้ถูกลืมไปถึง 1059ปี สิ่งที่เป็นสิ่งปลูกสร้างหลักทำให้โลกตะลึงคือปิรามิดแห่งเมืองขอม

 

อันนี้รูปด้านข้าง ยิ่งใหญ่มากเลยค่ะ คนสมัยก่อนนี่เก่งกันจริงๆสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ได้ขนาดนี้ แล้วด้านข้างก็มีบันไดให้ขึ้นไปด้วยนะคะ แต่เราไม่ได้ขึ้นไปจนสุดค่ะ

ตอนที่เห็นของจริงแล้วแว่บแรกที่เรากับผองเพื่อนนึกถึงก็คือ โดราเอมอน ตอน สุริยกษัตริย์ค่ะ 555

ต่อจากเกาะแกร์ เราก็นั่งรถมุ่งหน้าไปยัง บึงมาลาค่ะ ตั๋วมีพร้อมแล้วก็ลุยเลย ค่าเข้า 5 USD ค่ะ

ก่อนจะเข้าไป เราก็หาประวัติมาอ่านกันก่อน

ปราสาทเบ็งเมเลีย (บึงมาลา) นครวัดตะวันออก
เบ็งเมเลีย (ฺBeng Mealea) เป็นปราสาทที่สร้างเลียนแบบศิลปะของปราสาทนครวัด มีคูน้ำและปราสาท ทางเข้าด้านหน้าทั้ง 4 ทิศ ทำเป็น “สะพานนาคราชหรือสะพานสายรุ้ง” ข้ามคูน้ำที่มีความหมายถึง สีทันดรมหาสมุทร เข้ามาพบกับประตูป้อมศิลาทรายที่มีเรือนไม้อยู่ด้านบน เชื่อมต่อกับกำแพงที่ล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ถัดเข้ามาเป็นชั้นสะพานนาคบาทขนาดใหญ่ วางตัว 2 ระดับ ระดับล่างเป็นสะพานนาคราช มีอัฒจันทร์ปีกกาและขั้นบันไดขึ้นไปชั้นบน ที่เป็นลานสะพานนาคราชขนาดใหญ่นี้เป็นทางลาดยาวเชื่อมต่อกับซุ้มประตูใหญ่หรือ “โคปุระ” เข้าสู่ชั้นใน

ปราสาทเบ็งเมเลีย เป็นที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่ครั้งที่ นักสำรวจฝรั่งเศส ได้เดินทางเข้ามาสำรวจ หลังการทิ้งร้างมาราว 700 ปี ผ่านมาอีก 100 ปี ได้เกิดสงครามกลางเมืองของชาวกัมพูชา นักรบเขมรแดงใช้ปราสาทแห่งนี้เป็นหนึ่งในที่มั่นเพื่อสงคราม ทำให้ยอดปราสาทหลายหลังถล่มลงมา เมื่อพ่ายแพ้พวกเค้าจากไป ทิ้งระเบิดไว้ที่ปราสาทจำนวนมาก ทำให้ไม่มีใครที่จะสามารถจะเข้าใกล้ปราสาทนี้ในอีกหลายสิบปีต่อมา เมื่อสงครามจบลงได้ส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บกู้วัตถุจนปลอดภัย หลังการทิ้งร้างให้เป็นนิทรานครราว 800 ปี

เบ็งมาเลีย หรือเรียกอีกชื่อว่า บึงมาลา มหาปราสาทที่ยิ่งใหญ่ มีสถาปัตยกรรม มีลวดลายที่โดดเด่น และด้วยขนาดที่ใกล้เคียงกับนครวัด จึงได้รับการขนานนามว่า “นครวัดตะวันออก” ในทันที อีกทั้งมหาปราสาทแห่งนี้ยังสร้างขึ้นท่ามกลางพงไพร เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปี ทำให้มีมอส รากต้นไม้ขึ้นตามตัวมหาปราสาททำให้เกิดความสวยงามอย่างมาก ประกอบกับเส้นทางเดินในมหาปราสาทที่ไม่สามารถเดินได้สะดวกเหมือนเวลาไปเที่ยวมหาปราสาทที่อื่น ๆ ต้องปีนป่าย เพราะปราสาทอยู่ใสภาพที่ไม่สมบูรณ์นักเนื่องจากถูกระเบิด ก็ทำให้น่าดึงดูดใจไปอีกแบบ ข้อมูลจาก https://www.speedrich.com/เบ็งเมเลีย-อัศจรรย์มหาปราสาท/

 

 

ปราสาทบึงมาลานี่มีชื่อเรียกอีกอย่างนึง ที่คนไทยชอบเรียกกันก็คือ ปราสาท Royce ชาเขียว  เพราะอะไร ก็ตามรูปเลยค่ะ เหมือนมาก 555+

โดยส่วนตัวแล้วเราค่อนข้างชอบที่นี่ที่สุด ในบรรดาที่ไปมา เพราะว่าที่นี่ค่อนข้างร่มรื่น แล้วก็ได้อารมณ์แบบว่า Adventure ในการปีนป่าย เสมือนเราเป็นนักโบราณคดี เข้ามาสำรวจวัตถุโบราณ 555 เนื่องจากที่นี่ยังคงค่อนข้างที่จะรักษารูปแบบเดิม ไม่ได้มาบูรณะอะไรมากค่ะ มันก็เลยได้อารมณ์รู้สึกเรียลดี

ก่อนเข้าปราสาท มีฝูงน้องวัวด้วยแหล่ะ

ต่อจากบึงมาลา เราก็นั่งรถยาวกลับกันไปที่ตัวเมือง Siem Reap ค่ะ ให้คนขับไปส่งที่ร้านอาหารที่เราจองไว้
“Embassy” เป็นร้านอาหารแบบ Fine dining ที่ถ้ากินที่เมืองไทย คงแพงกว่านี้น่าดูค่ะ แต่ว่าที่นี่ คอร์สละ 28 USD ไม่รวมน้ำดื่มค่ะ และมีบวก Service charge ซึ่งเราว่าเป็นราคาที่ไม่แรงเท่าไทยแน่นอน หากใครอยากลองสามารถจองได้ตามเว็บไซต์เลยค่ะ https://www.embassy-restaurant.com/
ปล. กินเสร็จแล้วเค้ามีแถมมาการองกลับบ้านด้วย ฟิน อิอิ

หน้าร้านค่ะ ร้านนี้อยู่ไม่ไกลจาก Pub street เดินไปนิดเดียว

มาดูเมนูกันก่อนว่ามีอะไรบ้าง ในเมนูจะมีบอกที่เว็บไซต์ก่อนแล้วนะคะ แต่ละเดือนเมนูจะแตกต่างกันไปค่ะ อย่างเราไม่ทานเนื้อ ก็แจ้งไว้ในอีเมลบอกเค้าว่าขอแบบไม่มีเนื้อวัวผสมก็ได้ไม่มีปัญหาค่ะ

สำหรับอาหารที่ร้าน Embassy restaurant  ทางร้านเขียนไว้ในเมนูบอกว่า เค้าใช้วัตถุดิบ Local ตามฤดูกาลใน Cambodia มาสร้างสรรค์เมนูต่างๆ  แล้วก็มี Choice ทีเ่ป็น Wine Paring แนะนำว่าควรจะสั่งอะไร (แต่เราไม่ได้สั่งไวน์จ้า)

มาเริ่มที่เมนูแรกดีกว่า เป็น Amuse Bouche เมนูนี้ชื่อว่า Pound salted dry fish on fresh water melon Carpaccio หรือบ้านเราน่าจะเรียกว่าแตงโมปลาแห้งอะไรแบบนี้รึเปล่า อร่อยดีค่ะ กินหมดอย่างรวดเร็ว

ถัดมาเป็น Appetizer เมนูชื่อว่า Lightly spicy beef salad, crunchy kale, baby eggplants,mint leaf and sweet lady chili finger sauce. ของเราก็เปลี่ยนจากเนื้อมาเป็นไก่แทนค่ะ หน้าตาคล้ายๆซีเรียลบาร์เลย

มาต่อที่เมนู Soup ชื่อว่า Lotus stem sour soup cooked in organic roselle flower & chicken broth เมนูนี้จะมาเป็นแบบยังไม่ใส่ซุปก่อน แล้วพนักงานก็จะถือซุป มาค่อยๆราดลงบนจานทีละคนค่ะ

ลำดับถัดมาเป็น Sorbet เป็น Makpreang fruit sorbet, Sombai rice wine เปรี้ยวๆมันๆอร่อยดีค่ะ

และแล้วก็มาถึง Main Course มี 2 อย่างค่ะ
Steamed Barracuda fish with Kampot green pepper corn, young palm seed and coriander ปลาอร่อยไม่เหม็นคาวเลยค่ะ

และ Grilled duck from Baray farm, mixed seasonal vegetables, crispy rice, lemongrass and turmeric green kako sauce

จริงๆร้านค่อนข้างบรรยากาศดี เหมาะกับการมาเป็นคู่ (แต่พวกเรามากันเป็นขโยง 555+) ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติค่ะ โดยเฉพาะฝรั่ง แล้วพนักงานก็ค่อนข้างพูดภาษาอังกฤษดีทีเดียว เพราะทุกๆจานก่อนที่จะรับประทาน เค้าจะมาอธิบายอาหารก่อนค่ะ

และแล้วก็มาถึงของหวาน อันนี้เป็น Caramelized of Banteay Srey mango, served with coconut & sticky rice

พอกินเสร็จเช็คบิลเค้าก็จะเอามาการองมาให้ค่ะ คู่ละกล่อง เอากลับโรงแรมไปกินต่อได้เลย

มาต่อกันวันที่ 2 นะคะ
-วันที่สอง 18 Mar เที่ยวนครวัด ไปดู Sunrise Angkor Wat / Angkor Thom / Bayon / Taprohm / Ta Keo Sunset

หลังจากที่คนขับตุ๊กๆมารับที่ที่พัก (นัดไว้ตี 4:30) เค้าก็จะพาไปทำบัตร One day pass ก่อนค่ะ แถวก็จะแยกกันไปนะคะ ผู้คนมากมาย

อย่างที่แจ้งไว้ตอนต้นว่า ราคา Pass จะเป็นตามนี้เลยค่ะ เตรียมเงินและหนังหน้าให้พร้อมจ่ายเงินแล้วถ่ายรูปโลด ยิ้มได้นะคะ
1-day pass – US$ 37 ,3-day pass – US$ 62, 7-day pass – US$ 72

ได้บัตรเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันเลยค่ะ เราจะต้องรีบไปจับจองมุมถ่ายรูป ซึ่งที่ยอดฮิตก็คือที่ริมบึงสระน้ำด้านซ้ายมือ
เราไปถึงนครวัดประมาณตี 5 ครึ่งค่ะ แนะนำว่าให้ไปถึงประมาณเวลานี้แหละค่ะ จะได้มีเวลาไปจับจองที่

เราเดินมาถ่ายคนให้ดูค่ะ จะได้เห็นว่ายอดฮิตจริงๆมุมนี้

วันที่เราไปพระอาทิตย์ขึ้นตอน 6:30 ค่ะ สวยมากๆเลย มุมถ่ายตรงริมบึงสระน้ำจะเห็นภาพของดวงอาทิตย์สะท้อนที่สระชัดเจนเลย

แล้วเราก็เดินกันเข้าไปสำรวจด้านในกันค่ะ  ดูภาพแกะสลักนูนต่ำ นางอัปสร

เสร็จจากนครวัด เราก็เคลื่อนย้ายไปส่วนถัดไปค่ะ นั่งรถตุ๊กๆไปกันต่อ
นครธม ซึ่งนครธม เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของ นครวัด ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมายนับแต่สมัยแรกๆ และที่สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และรัชทายาท ใจกลางพระนครเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมัน เรียกว่า ปราสาทบายน และมีพื้นที่สำคัญอื่นๆ รายล้อมพื้นที่ชัยภูมิถัดไปทางเหนือ ที่มา wikipedia จุดเด่นที่สุดคือทางเข้าด้านใต้ ที่มีลักษณะเป็นหน้า 4 หน้า ก่อนจะเข้าสู่บริเวณนี้ จะเป็นแถวของยักษ์ (อสูร) ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่สองข้างสะพาน เมื่อเข้าสู่ใจกลางนครธมจะพบสิ่งก่อสร้างต่างๆ บริเวณประตูด้านใต้นี้ได้รับการอนุรักษ์ฟื้นฟูไว้ได้ดีกว่าบริเวณอื่นๆ อีก 3 ด้าน   ซึ่งทางคนขับจะให้เราลงตรงนี้เพื่อถ่ายรูป แล้วเดินไปเจอรถตุ๊กๆด้านในค่ะ

พอเดินด้านในนี่ช่างกว้างใหญ่ไพศาลจริงๆ ปราสาทบายน เค้าว่าเป็นปราสาทแห่งรอยยิ้ม เพราะไฮไลท์ของที่นี่คือ ภาพสลักหินใบหน้าพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 หน้าบนยอดของปรางค์ ที่ของเดิมมี 54 ยอด แต่ปัจจุบันพังทลายลงไปเหลืออยู่ 37 ยอด “คนส่วนมากเชื่อกันว่ายิ้มบายนคือการจำลองใบหน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มาไว้บนยอดปรางค์ทั้ง 4 ทิศ โดยสายตาที่มองลงต่ำนั้นเป็นการมองราษฎร ส่วนจำนวนปรางค์ 54 ยอดที่มีแต่ดั้งเดิมนั้นแทนจำนวนจังหวัด 54 จังหวัดที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปกครองในยุคนั้น”

เราค่อนข้างชอบการมาเที่ยวที่ Siem Reap ครั้งนี้มากแต่ๆ สิ่งเดียวที่ฉุดรั้งความสนุกไว้คืออากาศที่ร้อนนนนนน มากกกกกก มันเลยทำให้เหนื่อยง่ายสุดๆ พอเจอร้านขายน้ำปั่นนี่เปรียบได้ดั่งโอเอซิสจริงๆ จัดน้ำมะม่วงปั่นไปป็นมะม่วงของแท้ กินแล้วชื่นใจที่สุด

พอมีแรงเดินต่อ เราก็กะว่าเดินไปจุดนัดพบดีกว่า แต่เอ๊ะ อ้าว นี่เรายังเดินไม่ครบเลย หลงทางจ้า ก็ถามทางไปเรื่อยและถ่ายรูปกันต่อ

และก่อนที่จะไปยังปราสาท Taprohm ก็ไปแวะทานข้าวก่อน ร้านนี้แนะนำเลยค่ะ Khmer Angkor Kitchen และที่สำคัญร้านนี้มีแอร์ด้วย เย็นชุ่มฉ่ำแน่นอน และรสชาติใช้ได้เลยค่ะ

ปราสาท Taprohm สถานที่ถ่ายทำ Tomb Rider  ตรงจุดที่เป็นต้นสมพงขนาดใหญ่ ที่ขึ้นคลุมปราสาทตาพรหมก็จะเป็นจุดฮอตฮิตที่สุดที่นักท่องเที่ยวจะเดินหา แล้วเข้าไปเข้าคิวเพื่อถ่ายรูปค่ะ

ข้อมูลจาก Wikipedia บอกว่า ปราสาทตาพรหม สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1729 เป็นปราสาทหินในยุคท้ายๆ ของอาณาจักรเขมร ปราสาทเหล่านี้ถือว่าเป็นสถานที่ของพระพุทธศาสนาที่สมัยนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เพราะสมัยนั้นกษัตริย์ที่สนับสนุนให้มีการสร้างปราสาทนี้เป็นวัดในศาสนาพุทธ การดูแลปราสาทต่างๆนั้นรัฐบาลได้ทำการตัดต้นไม้ออกจากปราสาทอื่นๆ เพราะกลัวว่าประสาทจะล้มลงหากต้นไม้ใหญ่โตมากๆ แต่สำหรับปราสาทตาพรมนั้น รัฐบาลมีแนวคิดที่จะคงต้นไม้ไว้เหมือนโบราณที่มีต้นไม้ขึ้นบนปราสาทแทบทุกปราสาทจึงกลายเป็น ลักษณะเด่นของปราสาทตาพรหมคือมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นคลุมตัวปราสาทเป็นจำนวนมาก ไปในตอนหลัง

ปราสาทตาพรมนั้น ในรัชกาลที่กษัตย์นิยมฮินดูได้อำนาจคือจากกษัตริย์นับถือพุทธ จึงให้มีการทำลาย และมีร่องรอยการทำลายมากที่สุด เพราะความต่างของการนับถือศาสนา ปราสาทตาพรมจึงไม่หลงเหลือศิลปะให้พวกเราได้เห็นมากนัก และเนื่องจากใช้ถ่ายทำหนังหลายเรื่อง เช่น ทูมไรเดอร์ เจมส์บอนด์ ฯลฯ นักท่องเที่ยวจึงเข้าคิวเพื่อถ่ายรูปกับรากไม้มากกว่าซาบซึ้งในศิลปกรรม

ต่อไปเป็นที่เที่ยวสุดท้าย ที่ตอนแรกพวกเราตั้งใจจะไปยังปราสาทพนมบาเค็ง เพื่อดูพระอาทิตย์ตก
แต่ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจค่ะ เพราะที่ปราสาทพนมบาเค็ง เค้าลิมิตให้ขึ้นไปไม่เกิน 300 คน และต้องไปต่อคิวขึ้นท่ามกลางอากาศร้อนระอุ ช่วงเวลา Sunset ประมาณ 6:25pm และคนขับรถบอกว่าเราต้องไปถึงก่อนประมาณ 4 โมงเย็นเพื่อไปต่อคิวและขึ้นไปรอพระอาทิตย์ตก ซึ่งณ ตอนนั้นคิดว่าร่างพังแน่ ก็เลยไปอีกที่นึงตามที่เค้าแนะนำว่าเห็น Sunset เหมือนกันคือTa Keo ค่ะ แต่ก่อนจะถึงเวลาใกล้พระอาทิตย์ตก
เค้าก็เลยแนะนำให้ไปนั่งจิบกาแฟที่ร้านก่อน ซึ่งจริงๆแล้วพวกเราใช้เป็นที่นอนพักเหนื่อย และชาร์ตแบตมือถือเลยค่ะ 555
เป็นร้านเล็กๆอยู่ริมน้ำ

น้ำหวานกระป๋องที่แนะนำ ที่เมืองไทยไม่ค่อยมีขาย เราแนะนำน้ำฟัก หรือ Winter melon tea ค่ะ อร่อยหอมหวาน ดื่มแล้วชื่นใจ

Ta keo หรือ ปราสาทตาแก้ว ประวัติความเป็นมา

ปราสาทตาแก้ว สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 16  รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 สร้างเพื่ออุทิศให้แด่พระศิวะในศาสนาฮินดู ปราสาทตาแก้วเป็นปราสาทแรกที่ทดลองนำหินทรายมาสร้าง มีลักษณะเป็นปราสาท 5 หลัง ก่อด้วยหินเป็นชั้น 5 ชั้น สูง 20 เมตร ในชั้นที่ 2 มีระเบียงคตยาวติดต่อล้อมรอบ เป็นปราสาทที่ถูกเรียกว่าปราสาทโกลน หมายความว่าเป็นปราสาทที่ยังสร้างไม่เสร็จดี พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 1 ผู้มีศักดิ์เป็นพระนัดดาขึ้นครองราชย์ต่อมา จารึกไม่ได้ระบุว่าพระองค์ทรงสร้างปราสาทต่อหรือไม่ เพราะเป็นการขึ้นครองราชย์ช่วงสั้นๆ จวบจนพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ขึ้นครองราชย์ จึงทรงสร้างปราสาทตาแก้วต่อจนสิ้นรัชกาลก็ยังไม่เสร็จ มีข้อสันนิษฐานที่ปราสาทเป็นปราสาทโกลนหรือสร้างไม่เสร็จอาจเป็นเพราะหินทรายที่นำมาก่อสร้างนั้นมีความแข็งจนยากต่อการแกะสลักภาพก็เป็นได้ หรืออาจเกิดสงครามจึงต้องเกณฑ์ผู้คนไปทำการรบ ทำให้การก่อสร้างขาดช่วงไป หรือกระทั่งการเกิดฟ้าผ่า ซึ่งเป็นความเชื่อว่าไม่เป็นที่ปรารถนาของเทพเจ้าจึงต้องหยุดการสร้างปราสาทไป

ตัวปราสาทไม่ใหญ่มากค่ะ เราสามารถที่จะปีนขึ้นไปด้านบนเพื่อนั่งรอชมพระอาทิตย์ตกได้

สุดท้ายเราก็กลับที่พักเก็บของ แล้วก็กินข้าวแถวที่พักก็คือตรงใกล้ๆ Oops Hostel บริเวณ Pub street เลย ร้านนี้ชื่อว่า Steven Corner ร้านอยู่ติดกับ Miniso เลย สามารถแอบแว้บช้อปปิ้งระหว่างรอข้าวมาได้ 55 อาหารรสชาติดีค่ะ ร้านนี้ได้ลอง Lok Lak ซึ่งมีให้เลือกทั้งที่จะกินกับข้าวหรือเป็นก๋วยเตี๋ยว เป็นอาหารขึ้นชื่ออีกอย่างนึงใน Siem Reap ที่ต้องสั่งค่ะ กินกันเร็วมาก ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือว่าอร่อย

จบทริปกินอาหารเย็นเสร็จก็บึ่งไปที่สนามบินค่ะ ถ้าใครพักที่ Oops Hostel เหมือนเราลองรีเควสขอคนขับคนนี้ดูนะคะ ตอนแรกเราขอเบอร์มือถือเค้ามาแต่เราทำหายไปแล้วเค้าพูดแนะนำเก่ง คุยเก่ง และอธิบายสถานที่ท่องเที่ยวเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างดีค่ะ แนะนำเลย

ขอบคุณทุกคนที่อ่านรีวิวนะคะ 😀