WWOOF JAPAN ทำงานในฟาร์ม เที่ยวคนเดียวแต่ไม่เหงานะเธอ ! [ภาคเวิ่นเว้อ]

กลับมาต่อหลังจากดองอยู่นานมากกกก 555

สำหรับคนที่อยากเจอประสบการณ์แปลกใหม่ ชื่นชอบธรรมชาติ เรียนรู้วิถีชีวิต ความเรียบง่าย อาหารออร์แกนิก ชีวิตที่ไม่มีทีวี ได้พบเจอคนใหม่ๆ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม วิถีแห่งการเป็นวูฟเฟอร์คงจะตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้

บันทึกวันที่ 0 เป็นวันที่ยังไม่ต้องทำงานใดๆทั้งนั้น

เรามาถึงเมืองเล็กๆในจังหวัดนากาโนะ ที่ชื่อว่าเมืองอะซุมิโนะ ด้วยรถไฟแบบ Local ถึงปุ๊บเราก็มองหาตู้โทรศัพท์เพื่อติดต่อโฮส รอประมาณ 15 นาทีด้วยความหนาวเหน็บ ก็ได้เจอกับโฮสมาดพ่อบ้าน ใส่แว่น คิ้วเข้ม และรอยยิ้มแบบคนญี่ปุ่น หลังจากแนะนำตัวกันนิดหน่อย เราก็นั่งรถกระบะสีขาวมุ่งสู่ที่พัก ระหว่างทางโฮสคุณพ่อก็ชวนคุยตลอดทาง ยิงคำถามรัวๆด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นอย่างเช่น ทำไมถึงเลือกเมืองนี้ เราก็ตอบไปว่าอยากไปที่หนาวๆ 555 ทำไมถึงสนใจงานฟาร์ม ก็ตอบว่ามาญี่ปุ่นหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เคยมาอยู่ในฟาร์มเลย อยากลองดู (จริงๆอยากมาใกล้ชิดหนุ่มยี่ปุ่น ประสาคนบ้าเจแปน >//<

พอถึงที่พักปุ๊บก็อเมซิ่งมาก บ้านไม้เล็กๆคล้ายโกดังเก็บของ ด้านล่างมีกล่องลังสีน้ำตาลวางเต็มไปหมด ถัดจากบ้านก็มียางล้อรถเพียบ โฮสคุณพ่อนำเราขึ้นไปชั้น 2 เก็บของด้านบน แล้วบอกว่าตรงนี้มีทั้งหมด 4 ห้อง (จริงๆคือ 2 ห้องใหญ่ด้านขวากับซ้าย แล้วในห้องใหญ่มีผ้าม่านมากั้นแบ่งย่อยเป็น 2 ห้องเล็ก) ห้องว่างห้องสุดท้ายเป็นของเราพอดี ซึ่ง 3 ห้องที่ไม่ว่างได้ถูกวูฟเฟอร์ที่มาก่อนหน้าเราจับจองไว้หมดแล้ว

01.jpg

อาบน้ำเสร็จ เราก็มาที่ห้องอาหาร ได้พบกับโฮสคุณแม่ และลูกๆวัยกำลังซนทั้ง 3 คน อาหารมื้อแรกของเราเป็นผัก ผัก ผัก และเต้าหู้ !! แอบสตั๊นไปเล็กน้อยตอนแรกว่า โอ้ว ไม่มีเนื้อสัตว์เลยหรอเนี่ย จะอยู่ได้มั้ยฟระ แต่พอได้ลองชิมก็แบบ แค่ข้าวเปล่าญี่ปุ่นก็อร่อยแล้ว ใช้หม้อหุงข้าวยี่ห้อ Zojirushi ที่เค้าว่าหุงข้าวออกมาแล้วเทพมาก เม็ดข้าวสวยเนียน กินแล้วสุดยอดมาก 555

หลังจากกินเสร็จก็เดินกลับบ้านพักวูฟเฟอร์ (หมายเหตุ ห้องอาหารและบ้านโฮสเป็นอีกหลังนึง ส่วนบ้านพักวูฟเฟอร์ก็แยกออกมาอีกที เดินไม่กี่ก้าว) เข้าห้องน้ำทำธุระเรียบร้อย แล้วก็เกิดเรื่อง ! คือหาขยะจะทิ้งทิชชู่ที่ใช้เสร็จไม่เจอ!!! คือในบ้านวูฟเฟอร์ทั้งหลังมันไม่มีถังขยะเลยไง ในห้องน้ำก็เป็นแบบชักโครกหลุม คือเป็นการผสมผสานระหว่างชักโครกแบบนั่งสไตล์ตะวันตก + กับหลุมอึแบบตจว. บ้านเรา แล้วมันไม่มีถังขยะในห้องน้ำแบบบ้านเราอ้ะ เราก็โง่ เดินถือกระดาษทิชชู่แผ่นนั้นออกมา แล้วก็บังเอิญเจอสมาชิกวูฟเฟอร์อีกคน เป็นหนุ่มออสซี่สูงมากกก ก็เลยถามนางว่า Rubbish bin มีมั้ยอยู่ไหน นางก้อทำหน้าเหรอหรา เดินขึ้นห้องไปถามผู้หญิงไต้หวันอีกคน สรุปคือ เราต้องโยนทิ้งลงไปในส้วมนั่นแหละ (ชั้นจะถือออกมาทำไม-_- เปิ่นมาก ) การพบกันครั้งแรกกับสมาชิกคนอื่นๆแบบน่าอายจริงๆ

หลังจากรู้จักวูฟเฟอร์อีก 3 คนจนครบ รวมถึงอีกคนที่เป็นสาวญี่ปุ่นไซส์มินิด้วยแล้ว เราก็มาฟังออเรียนเทชั่นจากโฮสคุณพ่อถึงตารางงานคร่าวๆ และยื่นสัญญาวูฟที่ปริ้นท์มาจากไทยให้เป็นอันเสร็จพิธีและไปนอนได้ เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า แต่ทว่าฮีทเตอร์ที่ห้องนอนเรามันไม่ทำงาน TT_TT ก็เลยได้นอนท่ามกลางความหนาวเหน็บแบบสมใจอยากที่จะมาญี่ปุ่นหน้าหนาวเลยทีเดียว

บันทึกวันที่ 1 เริ่มงานวันแรก และการเก็บแอ๊ปเปิ้ลอันขึ้นชื่อของเมือง นากาโนะ

เวลาอาหารเช้าคือ 6:45 ที่ที่ทุกคนจะต้องพร้อมเพรียงกันในห้องอาหารแล้ว คนญี่ปุ่นปกติจะอาบน้ำแค่วันละหน ซึ่งเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามเราก็ต้องอาบน้ำครั้งเดียว จะมาอาบ 2 ครั้งสไตล์ไทยแลนด์มิได้ แต่ก็โชคดีว่าเราไปหน้าหนาว ตัวไม่เหม็นอยู่แล้ว 555 เปิดประตูปั๊บก็ทักทายยามเช้า Ohayou กันไป ปกติโฮสคุณแม่ก็จะเป็นคนทำอาหาร ส่วนเรื่องของการเตรียมอาหารก็จะช่วยๆกัน เช่นไปล้างแครอท หั่นผัก เตรียมจานข้าว คนญี่ปุ่นเวลาทานข้าวจะใช้จานเยอะมาก เพราะต่อคนจะต้องใช้เป็นเซ็ท เช่น จานอาหารหลัก จานสำหรับใส่ผักสลัด ชามใส่น้ำซุป ถ้วยน้ำจิ้ม จานเล็กใส่เครื่องเคียง แก้วน้ำเปล่า แก้วน้ำชา 555 ถ้าเป็นบ้านเราจานเดียวและตักทุกอย่างมารวมกันได้

02

พอทานอาหารเช้าเสร็จ คุณแม่โฮสก็จะ assign งานบ้านเล็กๆแบ่งกันไปทำ เช่น เวนซังไปทำความสะอาดอ่างอาบน้ำนะ โซ่ซังไปกวาด แอนซังไปถูพื้นไรงี้ ทำเสร็จก็เตรียมตัวออกไปทำงานฟาร์มกันต่อ ภารกิจวันแรกของเราคือการเก็บแอ๊ปเปิ้ล และเป็นการเก็บวันสุดท้ายพอดี โชคดีจังที่เราได้อยู่เก็บด้วย เพราะสัญลักษณ์ของเมืองนี้ก็คือแอ๊ปเปิ้ลนี่แหละค่ะ หวานกรอบอร่อยจริงๆ อิอิ ระหว่างตอนที่เก็บฝนก็ตกปรอยๆมาพอดี วิธีการเก็บก็ไม่ยาก แต่ว่าก็ต้องแข่งกับเวลา ลูกที่สูงหน่อยก็ต้องใช้บันไดเก็บ ดึงๆเอาก็หลุดจากต้นแล้วแต่ต้องดึงมาพร้อมกับขั้ว และระวังไม่ให้แอ๊ปเปิ้ลช้ำด้วยค่ะ สนุกดี ^^

04

ที่ฟาร์มนี้ก็มีทำน้ำผลไม้ขายด้วยค่ะ อร่อยมาก มีทั้งน้ำแอ๊ปเปิ้ล น้ำผลไม้รวม น้ำมะเขือเทศ น้ำลูกแพร์ เข้มข้นสุดๆ แต่ละอย่างหนู Tคุงเป็นคนนำเสนอ และเสริฟ์ถึงที่ Tคุงนี่เป็นเด็กร่าเริงมาก ไม่กลัวคนเลย

03

วันถัดมาเจอกับภารกิจใหม่คือการเก็บเกี่ยวแครอท หัวไชเท้า และก็ต้นหอมญี่ปุ่น เจ้าต้นหอมญี่ปุ่นนี่ตอนแรกคนออสซี่ถามเราว่าที่เมืองไทย ยูเรียกเจ้านี่ว่าอะไร เราก็แบบเอ่อต้นหอมญี่ปุ่น Japanese onion เอ๊ะนั่นมันหัวหอมนี่ เราก็เลยถามว่ามันต้องเรียกเจ้านี่ว่าอะไรนะภาษาอังกฤษ เค้าก็บอกว่า Spring onions เอ้อเราก็เลยอ่อเมืองไทยเรียกว่า Japanese Spring Onions ไง ฝรั่งก็งง ประเทศชั้นก็มีเจ้านี่ ทำไมประเทศยูถึงไปเรียกว่าเป็นต้นหอมญี่ปุ่น ไอ้เราก็ไปต่อไม่ถูกเลย ก็เค้าเรียกกันมาแบบนี้ มันไม่ใช่ผักของคนญี่ปุ่นเรอะ

วิธีการเก็บหัวไชเท้าก็คือดึงๆมันออกมากองไว้ก่อน แล้วก็คัดเลือกขนาดอีกที แบ่งเป็นใหญ่ เล็ก แล้วก็พวกหน้าตาแปลกประหลาดแยกมันออกจากกัน

05.jpg

ส่วนต้นหอมญี่ปุ่นเราก็จะเก็บเกี่ยวอันอ้วนพลีไป ส่วนพวกที่ยังเล็กๆอยู่ก็ดึงมันออกมาแล้วเอาไปปักไว้รวมกันกับต้นอื่นๆที่ยังไม่โตดี ส่วนที่ยากของงานนี้คือ เราดึงต้นออกมาแล้วรากมันไม่ตามมา ทำขาดไปหลายต้นเลย TT_TT

06

ส่วนผัก Lettuce นี่ ก็เช่นกันค่ะ ขุดๆมันออกมา แล้วเราก็ขนไปไว้ในส่วนที่เป็นที่ร่มแทนตรงกลางแจ้ง เพราะได้ข่าวมาว่าพรุ่งนี้หิมะจะเริ่มตกแล้ว เดี๋ยวผักเฉาตายหมด

07

ส่วนที่สนุกของที่นี่อย่างนึงก็คือ การที่เราได้แชร์ประสบการณ์ต่างๆกับเพื่อนใหม่ ทุกครั้งหลังจากที่ทำงานเสร็จ ต่างคนต่างก็จะไปใช้เวลาทำกิจกรรมต่างๆของตนเอง (อย่างคนญี่ปุ่นก็ไปนั่งอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเพราะเค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ส่วนคนออสซี่ก็จะใช้เวลาในการเทรนนิ่งเปิดเพลงฝึก Thai boxing ออกกำลังกาย ส่วนไต้หวันก็นั่งเล่นแชทไลน์ในคอม ส่วนเรานอนค่ะ 555) แล้วก็จะมานั่งคุยกันและช่วยกันเตรียมอาหารบ้าง อย่างในภาพนี่เป็นเกี๊ยว Mizu Gyoza ก็มาช่วยกันปั้นค่ะ แล้วก็เอาเข้าเตาใส่น้ำ แล้วก็ทอดและปิดฝา

08

อันนี้ของน้องหนู T คุง ฮามากหน้าตาน่าเอ็นดู ปั้นเป็นก้อนเลย บอกว่าเนี่ยทำเป็นหมอนกับชูไม

09

ช่วงว่างๆเราก็ถ่ายรูปเล่นเรื่อยเปื่อยค่ะ ต้นแอ๊ปเปิ้ลต้นนี้เข้าใจว่าเป็นของคนอื่นค่ะ เค้าปล่อยทิ้งไว้เราเลยมาแอบถ่ายรูปเล่นซะเลย

10

โชคดีมากที่เรามาอยู่แค่อาทิตย์เดียวแต่ได้บรรยากาศของทั้งตอนฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็ทันเห็นหิมะแรกของที่ Nagano ด้วยค่ะ ที่เมืองนี้จะอยู่ในเขตที่ค่อนข้างหนาวกว่าทั้งทางโตเกียวและโอซาก้า หรือถ้าคนไหนที่ชอบเล่นสกีก็จะขึ้นไปตรง Hakuba ค่ะ

การทำงานท่ามกลางหิมะเนี่ย ถ้าทำตอนวันที่หิมะตกนี่ก็แอบหนาวมาก แต่ถ้าตอนที่หิมะไม่ตกก็โอเคอยู่นะคะ ถ้าไป WWOOF แบบนี้แนะนำว่าให้เตรียมเสื้อผ้าและร่างกายให้พร้อมเป็นอย่างยิ่งไม่งั้นจะไม่สบายเอาได้ง่ายๆ จะว่าไปตอนวันแรกที่มาถึงเราไม่ได้ใช้ Heater ในห้องเลยเพราะว่าแก๊สหมด แล้วก็ไม่รู้จะไปเติมยังไง ตอนหลังไปบ่นให้คนอื่นฟังถึงรู้ว่าฮีทเตอร์ที่นี่ต้องเอาไปเติมน้ำมันเองน่ะเอง ใช้ไป 2-3 วันก็ต้องไปเติมแล้ว แล้วเจ้าฮีทเตอร์นี่ชอบหมดตอนกลางคืน แล้วต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเดินไปเติมน้ำมัน มันช่างหนาวเสียนี่กระไร

11

เวลาที่เราทำงานคือเวลาแห่งการเม้ามอยด้วยนี่แหละค่ะ ส่วนใหญ่ถ้างานแบบที่นั่งทำเช่น ตัดกิ่งไม้สำหรับไว้ทำฟืน หรือ งานตักข้าวเปลือกเข้าเครื่องเพื่อแยกข้าวเม็ดที่ไม่ดีออกมาก็จะเป็นงานที่ทำไปคุยไปได้ค่ะ

12

ข้าวเปลือกที่รอการร่อน

13

ข้าวที่ร่อนเรียบร้อย คัดเปลือกเปล่าๆออกไป

14

ปกติเรานี่ไม่ค่อยชอบฝรั่งเลย เพราะแบบเราไม่ใช่สเป๊กฝรั่งอยู่แล้ว (เราเคยมีความหลังฝังใจฝรั่งนิสัยแย่ๆไม่ช่วยงาน เลือกช่วยแต่คนสวย =*=) 555 แต่ตาออสซี่ที่เจอนี่ทำให้ความคิดเราเปลี่ยนไป นิสัยดีมากก รั่วนิดนึง แต่ช่วยงานทุกคนเป็นอย่างดีแบบไม่เลือกช่วยอ่ะ

ระหว่างที่นั่งทำงานไปตาออสซี่นี่ก็เริ่มประเด็นว่า เคยมีแฟนเป็นคนต่างชาติมั้ย ซึ่งในวงที่คุยเราผู้หญิง 3 คน ไต้หวัน ญี่ปุ่น ไทย ก็ตอบว่าไม่เคย

เรา : เราเลยถามกลับไปว่าแล้วเทอหละเคยมั้ย เค้าก็ตอบว่าเคยมีแฟนเป็นคนญี่ปุ่น ไม่รอช้า เราก็รีบถามว่าเจอที่ไหน ยังไง จีบยังไงหละ

ออสซี่: ตอนนั่งเครื่องบินกลับบ้าน (ออสเตรเลีย)

เรา: เฮ้ย แบบว่าพรหมลิขิตมากๆ คือ ผู้หญิงเค้านั่งข้างเธอหรอ

ออสซี่: เปล่า คือตอนนั้นเค้าเห็นผู้หญิงญี่ปุ่นคนนี้นั่งอยู่อีกฟากนึง แล้วเก้าอี้ด้านข้างๆเค้ามันว่าง เค้าเลยเดินไปขอนั่งด้วย แล้วจากนั้นก็คุยกันมาตลอดทางแล้วก็คบกัน

คนญี่ปุ่นที่เราเจออีกคน คนนี้ตัวเล็กมาก สูงประมาณ 150 ซม. ได้ เป็นคนที่ตอนแรกเราสงสัยมากว่าทำไมถึงมา WWOOF เพราะว่าก็อยู่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว มาทำงานแบบนี้คือได้แค่อาหารแล้วก็ที่พัก ถ้าเค้าไปทำงานที่อื่นก็น่าจะได้เงินมากกว่านี้ แต่เนื่องด้วยกำแพงทางภาษาทำให้เราไม่สามารถเข้าใจดีเทลลึกๆได้ แต่เข้าใจว่าเค้าน่าจะอยากมาฝึกภาษาอังกฤษและเรียนรู้กลเม็ดเคล็ดลับในการทำฟาร์ม เพื่อที่จะนำไปพัฒนาการเพาะปลูกของที่บ้านเค้า ขอเรียกสาวญี่ปุ่นคนนี้ว่า Hจัง

วันนั้นเป็นวันแรกที่หิมะตกหนักมาก งานของเราจึงไม่ค่อยมีเพราะข้างนอกหนาวจัด โฮสท์ก็เลยให้เราเข้าไปนั่งบิด Popcorn คือเพิ่งรู้ว่าป๊อปคอร์นนี่มันเป็นฝักแบบนี้ให้มาบิดได้เลย

15

ทำเสร็จปุ๊บก็ว่างมีเวลาครึ่งวัน พวกเรา 3 คน ประกอบด้วย Hจังและหนุ่มออสซี่ ก็เลยจะเข้าเมืองกัน ซึ่งเข้าเมืองรอบนี้เราอยากลองไปนั่งร้านกินดื่มแบบที่มีแอลกฮอลล์บุฟเฟ่ต์มาก ไม่เคยลองเลย ขี้เมาอย่างเราก็ขอจัดเลยจ้า

แต่นแต๊น เมนูบุฟเฟ่ 90 นาที 1296 เยน กินได้ไม่อั้น แต่ข้อเสียคือ ทั้งโต๊ะจะต้องสั่ง โนมิโฮได (ดื่มไม่อั้น) ทุกคน แม้คนที่ไม่กินแอลกฮอล์ก็ต้องจ่าย 1,296 เยนเหมือนกัน ซึ่ง Hจังไม่ชอบแอลกฮอลล์ค่ะ เราก็เลยตกลงกับออสซี่ว่า เรามาหารครึ่งค่าดื่มของ Hจังแทนละกัน

1421824156-w4-o

อันนี้คือรวมรูปที่ลองมาค่ะ ก่อนจะสั่งแต่ละอย่างเราต้องกินของเดิมให้หมดก่อนถึงจะสั่งใหม่ได้ เราก็ลองมาหมดเลยค่ะ ไม่ว่าจะเบียร์สด เบียร์ขวด โซจู สาเก ไฮบอล กินมั่วไปหมด

1421824781-w3-o

และพิเศษสำหรับคุณผู้ชายที่ดื่มมาเต็มที่ หากคุณเข้าห้องน้ำก็จะได้เล่นเกมส์ที่โถส้วมฟรีด้วย เพียงคุณ Pee แล้วก็กด Start ที่หน้าจอก็จะได้แข่งกับคอมค่ะ มีสรุปด้วยว่าสุดท้ายใครชนะ และมีความเร็วที่เท่าไหร่ 555 คนคิดเกมส์ก็คิดได้เนาะ ผู้หญิงก็อดเล่นไป ส่วนที่เรามีรูปเพราะว่าเพื่อนถ่ายเป็น vdo ออกมาโชว์จ้า คือแบบ ฮาก็ฮา คิดสภาพแล้วก็เขินแทน

1421825057-p1-o

1421825077-p2-o

1421825093-p3-o

เกมส์จบแล้วยังมีบอกอีกนะว่าคุณ Win หรือ Lose แล้วความแรงคิดเป็นกี่ กม. (คือละเอียดไปม้ายย) พร้อมมีโฆษณาเบียร์แทรกอีก

ไม่เคยคิดว่าจะได้มาเมาแบบพอมีสติ ที่ญี่ปุ่น เพราะอยู่เมืองไทยเป็นเด็กดีมาก ไม่เคยกินเบียร์เกิน 2 แก้วจ้า
แต่ก็โชคดีมากที่ได้ H จังดูแลช่วยพยุง และหาน้ำเปล่ามาให้กินตลอดการเดินทางกลับ ส่วนพ่อหนุ่มออสซี่นี่เกรียนมาก พอเรียกแท็กซี่ได้แล้วยังให้คนขับแวะ คอนบินิ (ร้านสะดวกซื้อ) ซื้อเบียร์เพิ่มอีก ทำให้การเดินทางถึงที่พักช้าขึ้น เพราะคนขับรถหลงทาง ประกอบกับหิมะปกคลุมหนาทั่วพื้นที่มองอะไรไม่ค่อยเห็น แต่ก้อถือว่าเป็นประสบการณ์เกรียนที่สนุกมาก แถมเรายังได้รูปมากมายที่ตาออสซี่ถ่ายไว้เป็นหลักฐานว่าเราเมา 555

รูปที่ถ่ายก่อนไปทานอาหารค่ะ โชคดีที่เที่ยวก่อนแล้วค่อยมากิน อิอิ เราแวะไปที่ปราสาท Matsumoto (หรือปราสาทอีกา) คนไทยเรียกชื่อเล่นว่าปราสาทอีกาดำ เพราะตัวปราสาทเป็นสีดำ และปีกด้านต่างๆของปราสาทแผ่กางออกเหมือนปีกนก

น่าเสียดายที่เราไม่ได้มีเวลาเข้าค่ะ อยู่แค่ด้านหน้า ที่ปราสาทอีกานี้ถือเป็นปราสาทที่สมบูรณ์ที่สุดติด 1 ใน 5 ของญี่ปุ่น อีกทั้งตัวปราสาทหลักและกำแพงหิน ยังเป็นของเดิมกับที่สร้างเมื่อ 500 ปีก่อน ยิ่งตอนที่หิมะตกปกคลุมยิ่งสวยมากๆค่ะ

1421826581-z1-o

บริเวณ Nawate Dori (street)

1421826595-z2-o

งานของฟาร์มที่เราทำจะมี Dayoff ให้ 1 วันต่ออาทิตย์ โดยจะหยุดวันอาทิตย์ ซึ่งปกติแล้วเหล่าวูฟเฟอร์ก็จะมาวางแผนกันว่าจะไปไหนดี
อาทิตย์ที่แล้วตอนที่เรายังไม่มา วูฟเฟอร์ทั้ง 3 รวมตัวกันไปบ้าน H จังและนอนค้าง 1 คืนที่ Gifu แล้วก็ไปเที่ยวไร่วาซาบิ รวมถึงงานเก็บเกี่ยวพืชผักกัน อาทิตย์นี้ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะไปดูลิงแช่ออนเซนกัน แต่ว่าระยะทางไกลมาก เราเลยชวนเชื่อให้ทุกคนไปไม่สำเร็จ สุดท้ายก็เลยเปลี่ยนใจไปวัด Zenkoji แทน สมาชิกในทริปนี้เป็น 3 สาว เนื่องจากหนุ่มออสซี่บอกว่าเงินหมดและงอนที่ไม่ไปดูลิง

ที่งงในเรื่องของวัฒนธรรมอีกอย่างนึงคือ เราเป็นคนเดียวที่พกกล้องไปจ้า และ 2 นางไม่มีใครถ่ายรูปอะไรใดๆเลย คือเวลาไปเที่ยวนี่คือแค่เที่ยวดูบรรยากาศจริงๆ (ทั้งๆที่ค่าเดินทางแท็กซี่+รถไฟ นี่ก็ไม่ใช่น้อยเลย) มีแต่เราที่ขอใช้เวลาถ่ายรูปเป็นที่ระทึกจ้า

ถ้าจะเข้าชมอุโมงค์ภายในวัดต้องเสียเงินค่าเข้า 500 เยน ค่ะ เราก็เข้าไปคนเดียว ส่วนเพื่อนทั้ง 2 ขอรออยู่ข้างนอก
ข้างในอุโมงค์ที่เป็นทางลงใต้ดินจะมืดสนิทเลย คือแบบว่ามองไม่เห็นอะไรเลยอ่ะค่ะ โดยเราจะต้องคลำทางผนังไปเรื่อยๆ ซึ่งเสมือนจำลองว่าเราเป็นคนตาบอด แต่เท่าที่อ่านบางที่เค้าก็บอกว่าเหมือนเป็นการทำจิตใจให้สงบ ให้ละจากกิเลสทั้งปวง และภายในอุโมงค์เราไม่สามารถใช้ไฟฉายหรือมือถือได้นะคะ ตอนเราลอดนี่แบบว่าลอดคนเดียว ด้านหน้าเป็นคุณแม่ญี่ปุ่นและเด็กๆกลัวกันตลอดทางเลย

1421827862-tem1-o

1421827992-tem2-o

Advertisement

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s